22 กันยายน 2555

Disruptive Education - การศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก (ตอนที่ 3)


(ภาพจาก Flickr.com)

ในภาพยนตร์เรื่อง Avatar ตอนที่นางเอกพาพระเอกไปหัดขี่มังกร นางเอกได้สอนให้พระเอกเอาปลายของมวยผม เชื่อมเข้ากับปลายหนวดของมังกร ซึ่งจะทำให้ข้อมูลของพระเอกถูกเชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลในตัวของมังกร ทำให้ทั้งพระเอกและมังกรสามารถเรียนรู้กันและกันได้ดีขึ้น หนังเรื่องนี้ยังได้แสดงให้เห็นตัวอย่างของการเชื่อมข้อมูลระหว่างสิ่งมีชีวิตอีกหลายครั้ง เช่น พระเอกได้ถ่ายเทข้อมูลชีวิตของตัวเองทั้งหมด ออกจากร่างกายที่เป็นมนุษย์พิการ ไปสู่ร่าง Avatar ผ่านต้นไม้อัจฉริยะที่มีชื่อว่า Eywa

คงจะดีไม่น้อยนะครับ ถ้าเราจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการเชื่อมสมองของเรากับข้อมูลความรู้ได้โดยตรง ตอนที่ผมยังเด็กผมชอบเอาหนังสือมาหนุนหัว เพราะผู้ใหญ่ชอบพูดแหย่อยู่เสมอว่า มันจะช่วยทำให้ความรู้ซึมเข้าสู่สมองได้ ลองคิดดูนะครับ ทุกวันนี้คนที่จบปริญญาเอกจะต้องเรียนกี่ปีถึงจะได้ใช้คำว่า ดร. นำหน้า ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี ปริญญาตรี 4 ปี โท+เอก อีก 5 ปี (อย่างเร็วนะครับ เพราะส่วนใหญ่ โท+เอก ในเมืองไทย มักจะใช้เวลาประมาณ 7 ปี) รวมทั้งหมด 21 ปี !!!! อะไรกันครับเนี่ย เราเสียเวลาไปถึง 21 ปี กว่าจะได้ทำอะไรที่มันเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ เราต้องใช้เวลาเรียนอย่างเดียวถึง 21 ปี เพื่อที่จะออกมาทำงาน โดยที่สิ่งที่เรียนมา อาจจะใช้ประโยชน์ได้น้อย แถมยังต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมทีหลังอีก ถึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Neural Engineering (รายละเอียดเพื่อการอ้างอิง Robert E Hampson, Greg A Gerhardt, Vasilis Marmarelis, Dong Song, Ioan Opris, Lucas Santos, Theodore W Berger and Sam A Deadwyler, "Facilitation and restoration of cognitive function in primate prefrontal cortex by a neuroprosthesis that utilizes minicolumn-specific neural firing", Journal of Neural Engineering 9 (2012) 056012, doi:10.1088/1741-2560/9/5/056012) นักวิจัยได้ฝังชิพลงไปในสมองของลิง ซึ่งช่วยให้ลิงเรียนรู้ได้เร็วขึ้น โดยนักวิจัยได้ทดลองฉีดสารโคเคนเข้าไปในลิง เพื่อทำให้ลิงมีความสามารถในการคิดและตัดสินใจช้าลง หลังจากนักวิจัยจึงป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไปสู่ไมโครชิพที่ติดตั้งในสมองลิง เพื่อให้ไมโครชิพเริ่มทำงาน ผลปรากฎว่าลิงสามารถกลับมาคิดเร็วได้เหมือนเดิม นี่เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ในอนาคตมนุษย์เราเองสามารถที่จะฝังสมองกลแบบนี้เข้าไปในสมองของเรา เพื่อช่วยให้เรามีสมองได้ดีขึ้นเช่นกันครับ


ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เรามีเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานในอนาคต ทางออกหนึ่งที่เรามักใช้ก็คือการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว ดังนั้น เรามีทางเลือกอยู่ 2 ทางตอนนี้คือ

(1) นำแรงงานของผู้สูงวัยกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ด้วยการให้ผู้สูงวัยสามารถทำงานที่บ้านได้ โดยการช่วยเหลือจากเทคโนโลยีต่างๆ การปรับระบบการศึกษาให้เป็น Online Education จะทำให้ผู้สูงอายุสามารถเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาเรียนที่สถาบันการศึกษา ทำให้ผู้สูงวัยเพิ่มพูนความรู้แบบก้าวกระโดด และสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง

(2) นำแรงงานเด็กในวัยเรียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันเด็กใช้เวลาทั้งหมดในวัยเรียนเพื่อเรียนอย่างเดียว แต่การศึกษาแบบใหม่ จะทะลุทะลวงโลก และจะสามารถนำศักยภาพของเด็กมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจได้ ระบบ Online Education จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วขึ้น จบมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น และในระหว่างเรียน เด็กก็สามารถรับ Job และทำงานไปเรียนไป สร้างรายได้ และเงินหมุนเวียนแก่ระบบเศรษฐกิจ

ถึงเวลาหรือยังครับ ที่เด็กไทยจะก้าวออกจากวงจรการเรียนพิเศษ การติวเข้ม เพื่อมุ่งเข้ามหาวิทยาลัย การเรียนแบบนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความรู้ ไม่ได้สร้างทักษะพิเศษให้เด็ก และไม่ได้ทำให้เด็กมีความสามารถเพิ่มขึ้นในการหารายได้ในอนาคตเลย เด็กที่ฉลาด เด็กที่มีวิสัยทัศน์จะไม่ไปเรียนพิเศษแบบนั้น แต่จะเลือกเรียนในสิ่งที่เพิ่มพูนทักษะของเขา และสามารถนำสิ่งที่เรียนมาหารายได้ เช่น การเรียนภาษาที่ 3 ภาษาที่ 4 การเรียนทำอะนิเมชั่น การเรียนทำกราฟิกส์ หรือเรียนเรื่องการเงิน การลงทุน ... นี่สิครับ ผมถึงจะเรียกว่าเป็นการศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก .... 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น