24 กรกฎาคม 2554

นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบทฤษฎี อธิบายการเจริญและเสื่อมของสรรพสิ่ง



ทุกๆ ครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ แถวๆ สุโขทัย หรืออารยธรรมโบราณอย่างนครศรีเทพ คำถามที่มักจะเกิดขึ้นในใจผมก็คือ เมืองโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอดีตเหล่านี้ เสื่อมถอยจนเหลือแต่เศษซากไปได้อย่างไร กรุงสุโขทัยซึ่งถือเป็นราชธานีแห่งแรกสำหรับประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย กลายเป็นเมืองร้างโบราณได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ถูกรุกรานเผาทำลายโดยน้ำมือข้าศึกเหมือนอยุธยา

การเจริญและความเสื่อมถอยของอารยธรรม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตอนสมัยผมเป็นเด็ก เราเคยเรียนเรื่องความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของอารยธรรมอียิปต์ กรีก โรมัน มองโกล ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่ย้อนกลับไปไกลพอควร แต่ที่ใกล้ๆ และยังพอเห็นอยู่ก็คือ สหราชอาณาจักร หรือ อังกฤษ นี่เองครับ อังกฤษเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่มากๆ เคยครอบครองพื้นที่ที่เป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน อินเดีย จีน มาเลเซียและสิงคโปร์ ออสเตรเลีย จนถึงกับถูกตั้งฉายาให้เป็นอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ทุกวันนี้ อังกฤษเสื่อมถอยลงทุกด้าน แม้กระทั่งฟุตบอลซึ่งตัวเองเป็นต้นตำหรับ แต่กลับได้เป็นแชมป์โลกเพียงครั้งเดียว แล้วก็เป็นครั้งที่ถูกกล่าวหาว่าปล้นชัยชนะมา จากความได้เปรียบในการเป็นเจ้าภาพ

วงจรแห่งความเจริญและเสื่อมถอยของสรรพสิ่งนี้ เรามักจะรู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า S-curve เพราะเหตุที่ว่ามันมีรูปร่างคล้ายๆ ตัว S นั่นเองครับ กล่าวคือ ช่วงแรกๆ การเจริญเติบโตหรือรุ่งเรื่องนี้จะเป็นไปด้วยความเชื่องช้าก่อน สักพักมันจะเริ่มชันขึ้น ชันขึ้นเรื่อยๆ เกิดอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากไปสักพัก จากนั้นมันจะเริ่มอืด อัตราการเติบโตจะช้าลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดนิ่ง

วงจรรูปตัว S ที่ว่านี้ ถ้าสังเกตให้ดี มันเกิดขึ้นสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การเจริญเติบโตของเราเอง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีต่างๆ ปฏิกริยาเคมี การขยายประชากรของสิ่งมีชีวิต และอื่นๆอีกมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งความรัก ที่มักจะเบ่งบานในช่วงแรก แล้วกลายมาเป็นความเบื่อหน่ายชาเย็นในที่สุด การเกิดวงจรรูปตัว S เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเรา แต่วิทยาศาสตร์กลับยังไม่เคยให้คำตอบว่า เพราะอะไรมันถึงต้องเป็นเช่นนั้น

และแล้ว ... เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ได้มีการเปิดเผยคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวงจรรูปตัว S ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Applied Physics (รายละเอียดฉบับเต็มคือ A. Bejan, S. Lorente. The constructal law origin of the logistics S curve. Journal of Applied Physics, 2011; 110: 024901 DOI: 10.1063/1.3606555) โดยศาสตราจารย์ เบจาน (Professor Adrian Bejan) แห่งภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยดุค (Duke University) ท่านเป็นผู้ตั้งทฤษฎีที่เรียกว่า Constructal Theory ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการไหลของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติอันนำไปสู่การสร้าง หรือรังสรรสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต กฏของการไหลของข้อมูล วัสดุ ปัจจัยต่างๆ นั้นบังคับให้การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ มีรูปแบบออกมา เช่น รูปร่างของต้นไม้ การไหลของแม่น้ำ รูปร่างของปอด การจราจร ระบบการไหลเวียนของโลหิต เป็นต้น

เมื่อนำทฤษฎีและโมเดลทางคณิตศาสตร์ของ Constructal Theory มาพิจารณาสิ่งต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ จะพบว่าเมื่อเทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่ๆ คนยังไม่รู้จัก มันก็จะเหมือนของไหลที่ต้องผ่านทางแคบๆ และค่อยๆ เจาะเข้าไปในดินแดนที่ยังไม่มีการไหลเข้าไป ซึ่งเหมือนช่วงต้นของ S-curve ที่จะมีการเติบโตค่อนข้างช้า เมื่อคนเริ่มรู้จักเทคโนโลยีนั้นแล้ว จะมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง มีการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด เปรียบเสมือนการไหลผ่านแม่น้ำสายหลัก ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีนั้นเริ่มอิ่มตัว และต้องการเข้าไปสู่ผู้ใช้อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ มันก็จะเริ่มเจาะเข้าไปในตลาดได้ช้าลง ซึ่งก็คือช่วงปลาย S-curve นั่นเอง เสมือนน้ำในแม่น้ำสายหลักที่พยายามไหลเข้าไปในคลองเล็กคลองน้อย ซึ่งปลายก็จะค่อยๆ ตีบลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นจุดที่เทคโนโลยีอิ่มตัวไม่สามารถสร้างตลาดใหม่ได้อีก และอีกไม่นาน ก็จะมีสิ่งใหม่มาแทนที่

เมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมที่มีชื่อว่าอนัตตลักขณสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่มีตัวตนของสรรพสิ่ง ทำให้เกิดสภาวะไม่เที่ยง ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ อันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ย่อมดับไปเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อฟังธรรมนี้จบ ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันในครานั้นเอง ......

2 ความคิดเห็น:

  1. ย่อหน้าสุดท้ายนี่น่าขบคิดจริงๆ
    แถมยัง เมื่อ 2600 ปีที่แล้วอีก

    ตอบลบ
  2. ใช่ครับ หลายๆ เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบเร็วๆ นี้ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบเมื่อ 2,600 ปีที่แล้วทั้งนั้นเลยครับ

    ตอบลบ