19 กุมภาพันธ์ 2555

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 12) ตอน โลกนี้คือเกมส์ (Life is Games)



"โลกนี้คือละคร" คุณแม่ชอบเปิดเพลงนี้ตอนผมเด็กๆ ชีวิตของแต่ละคนในโลกใบนี้ เดินไปตามบทที่วางไว้ ไม่ต่างไปจากตัวแสดงในละคร ฉากความสุข ฉากความเศร้าผ่านเข้ามา สุดท้ายละครก็จบลงโดยทุกๆ คนที่เกิดมาก็ต้องตาย ผมฟังเพลงนี้ทีไรรู้สึกว่ามันหดหู่เหลือเกิน โลกนี้ช่างไม่น่าอยู่เสียนี่กระไร ....

แต่เมื่อผมโตขึ้น ผมกลับพบว่าแท้จริงแล้ว "โลกนี้คือเกมส์" โดยเราเป็นผู้เล่นที่สามารถจะกำหนดแผนการเล่นของเราได้ ไม่มีใครเขียนบทให้เราเดิน ไม่มีใครมากำกับชีวิตเรา เราต่างหากที่เป็นผู้กำหนดการเล่นของเราเอง โดยเราต้องเอาชนะอุปสรรคต่างๆ สะสมแต้ม ผ่าน Level แล้วไปถึงเป้าหมายคือรางวัลชีวิตให้ได้ โลกที่เป็นเหมือนเกมส์นี้ จึงมีแต่ความท้าทาย คละเคล้าไปด้วยความสนุกสนาน ความบันเทิง และความสุขเมื่อเราสามารถอัพ Level ขึ้นไป

นักอนาคตศาสตร์ล้วนมองไปในแนวทางเดียวกันครับว่า ในอนาคต เกมส์จะดูเป็นจริงมากขึ้น หรือ ชีวิตจริงก็จะดูเป็นเกมส์มากขึ้น เกมส์กับชีวิตจริงจะเริ่มมาหลอมรวมกัน (Games-Life Convergence) ทุกวันนี้เวลาเราเดินทางออกไปข้างนอก ไปทานข้าว ไปห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ไปไหว้พระ 9 วัด หลายๆ คนเมื่อไปถึงจะรีบ check-in ใน Foursquare เพื่อสะสมแต้ม แลก Badge ต่างๆ เวลาเราซื้อของ จ่ายบัตรเครดิต เราได้แต้มเพื่อนำมาแลกของรางวัล เราไปซื้อหนังสือที่ร้านนายอินทร์ เราได้แสตมป์ซึ่งสามารถนำมาเป็นส่วนลดสำหรับซื้อหนังสือได้ แต่คนส่วนใหญ่กลับยินดีที่จะบริจาคแสตมป์นั้นเพื่อเป็นการกุศล โดยนำไปแปะที่บอร์ดของร้าน รถยนต์หลายๆ ยี่ห้อเริ่มมีการใส่เกมส์เข้าไปในรถเพื่อทำให้การขับขี่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ฟอร์ดได้ใส่เกมส์ปลูกองุ่นเข้าไปที่คอนโซลของรถ หากผู้ขับขี่ขับรถสุภาพ อ่อนโยน ประหยัดน้ำมัน ต้นองุ่นที่คอนโซลจะค่อยๆ ผลิใบ ออกลูก มีการรดน้ำ ให้ปุ๋ย แต่ถ้าหากผู้ขับขี่ขับรถแบบกระโชกโฮกฮาก ผลลัพธ์คือองุ่นก็จะเหี่ยวตาย ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ผู้ที่ขับขี่รถฟอร์ด มีแนวโน้มในการขับขี่อย่างเป็นมิตรกับทั้งสิ่งแวดล้อม และผู้ร่วมเส้นทางมากขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราทำมันด้วยความสุขและความยินดีโดยไม่มีใครบังคับ เกมส์ได้เข้ามาในชีวิตประจำวันของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว บริษัทวิจัยตลาดที่ชื่อว่า M2 Research ได้ประมาณการว่า มูลค่าของการบูรณาการเกมส์เข้าไปในสินค้าประเภทต่างๆ นั้นจะเพิ่มขึ้นจาก 3,000 ล้านบาทในปี ค.ศ. 2011 ไปเป็นประมาณแสนล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากตัวเลขนี้ เราเริ่มมองเห็นแล้วไหมครับว่า ..... โลกนี้คือเกมส์

ถ้าโลกนี้คือละคร เราซึ่งเป็นผู้เล่นล้วนถูกกำกับให้ดำเนินชีวิตไปตามบทละครที่ถูกวางเอาไว้แล้ว โดยมีผู้กำกับบท คอยดูแลไม่ให้เราทำอะไรออกนอกแนวทางที่เขาเขียนไว้ ชีวิตคงไม่น่าภิรมย์อะไรเลยถ้าตัวเราไม่สามารถที่จะลิขิตชีวิตของตัวเองได้ ต่างจากโลกนี้ที่เป็นเกมส์ ผู้เล่นสามารถเลือกแนวทางการเล่นที่เป็นสไตล์ที่ถนัดของตนเองได้ ไม่มีผู้กำกับ ชีวิตลิขิตได้ด้วยฝีมือของเราเอง เจน แมคโกนิกัล (Jane McGonigal) นักวิจัยและออกแบบเกมส์ที่มีชื่อเสียง ได้กล่าวในหนังสือของเธอที่มีชื่อว่า Reality is Broken ว่า "เกมส์สามารถถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาในโลกจริงได้หลายอย่าง แม้แต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างเรื่องโลกร้อน หรือเรื่องความยากจน ในความคิดของฉัน เกมส์สามารถใช้เพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ มันทำให้เรามีความสุข มองโลกบวก สร้างสรรค์ และเต็มเปี่ยมด้วยพลังในการเปลี่ยนโลกไปสู่ความเปี่ยมสุข"

เราสามารถใส่ความเป็นเกมส์ลงไปในกิจกรรมชีวิตได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นนอน ขับรถออกไป ในที่ทำงานก็ทำให้เป็นเกมส์ได้ แม้แต่จีบผู้หญิงเราก็สามารถใส่ความเป็นเกมส์เพื่อให้กิจกรรมดูท้าทายยิ่งขึ้น ผู้เขียนกำลังทำวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีตรวจวัดสุขภาพ โดยการใส่เซ็นเซอร์เข้าไปในหมอน ผ้าปูที่นอน รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ โดยเซ็นเซอร์จะตรวจวัดกิจกรรมการใช้ชีวิตของผู้ใช้ ซึ่งแบบแผนการใช้ชีวิตที่ทำให้สุขภาพดี จะทำให้ผู้ใช้ (หรือผู้เล่น) ได้คะแนนประสบการณ์ (XP) ผู้ใช้สามารถที่จะดูข้อมูลสุขภาพของตัวเอง เช่น การนอนหลับที่สนิทหรือไม่ การหายใจระหว่างนอนหลับ การพลิกตัว การกรน ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยผู้ใช้จะรู้สึกสนุกที่จะแข่งกับตัวเอง เหมือนกับการเล่นเกมส์ และเกมส์เหล่านี้ก็สามารถที่จะเล่นหลายๆ คนเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ ได้

การมองโลกแบบเกมส์ จะช่วยสร้างจินตนาการ สร้างความฝัน สร้างแรงบันดาลใจ และทำให้เราอยู่กับโลกความเป็นจริงได้อย่างไม่เบื่อหน่าย ไม่หมดอาลัยตายอยาก มีแรงปรารถนา ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความฝันและความหวัง เมื่อเราตื่นเช้าขึ้นมาในทุกๆ วัน เราจะรู้สึกถึงความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น มีพลัง และพร้อมที่จะเอาชนะอุปสรรคต่าง .... รางวัล และการอัพ Level คอยอยู่ตรงหน้าครับ ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น