(ภาพบน - รถยนต์ที่วิ่งมาโดนคราบน้ำมันลื่น จะส่งข้อมูลเตือนไปยังรถคนอื่นๆ ที่กำลังจะวิ่งมาในเส้นทางเดียวกัน)
ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (embedded computing) ที่นับวันจะเล็กลงๆ ราคาถูกลงๆ แต่มีสมรรถนะมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ได้ทำให้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่เราเคยมองว่าอาจต้องใช้เวลานานถึงจะเป็นจริงๆ มีโอกาสได้ใช้เร็วขึ้นมากกว่าเดิมครับ เช่น อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ปัจจุบันกลายมาเป็นของเล่นสนุกๆ กันไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เราใช้กันในบ้าน พากันเชื่อมโยงเข้าระบบอินเตอร์เน็ต โดยมีโทรทัศน์ (Internet TV) นำร่อง ต่อไปก็จะเป็น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ และ ...... รถยนต์
ในบทความซีรีย์นี้ ผมจะทยอยนำความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Automobile หรือ Intelligent Car หรือ i-Car หรือ Smart Car) ซึ่งจะทำให้ยานพาหนะสุดโปรดของมนุษยชาติ กลายเป็นเครื่องใช้ที่มีหัวคิด สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ และ คอยหมั่นดูแลเอาใจใส่ผู้ใช้ เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังทยอยเข้ามาใส่ในรถยนต์ยุคต่อไป ผมขอยกตัวอย่างอัจฉริยภาพดังต่อไปนี้ ที่เรากำลังจะมีใช้กันในอนาคตครับ
- Autonomous Cruise Control เป็นระบบการขับเอง (Self-Driving) ของรถยนต์ ซึ่งรถยนต์จะอาศัยเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนรถยนต์ มันจะตรวจสอบแนวเส้นทางของถนน ควบคุมพวงมาลัยและความเร็วที่มันคิดว่าปลอดภัย เซ็นเซอร์จะตรวจสอบระยะห่างจากรถยนต์คันหน้า ตัวรถยนต์อาจมีการสื่อสารกับถนนหรือทางหลวง (Smart Highway) ซึ่งมันจะรับข้อมูลเข้ามา ซึ่งจะทำให้มันรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลที่ควรใส่ใจ เช่น ทางโค้งอันตราย ไฟจราจร หรือ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างหน้า
- Lane Departure Warning เป็นระบบที่คอยเตือน เมื่อรถยนต์ที่เราขับกำลังจะหลุดออกจากเลน จะโดยความไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ หรือ หลับใน ระบบจะตรวจพบวิถีการขับที่ผิดปกติ และจะส่งเสียงเตือนให้เรารีบกลับเข้าเลน แต่ถ้าเราตั้งใจแซงรถแล้วเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะเข้าใจว่าเรามีสติรู้อยู่ว่ากำลังจะทำการแซง เค้าก็จะไม่เตือนครับ
- Blind Spot Monitoring เป็นระบบช่วยเหลือในการมองบริเวณที่เราเรียกว่า "จุดบอด" ครับ ซึ่งกระจกมองหลัง และกระจกข้างมักจะไม่เห็น เช่น ด้านข้างรถช่วงใกล้ๆ ประตูหลัง เช่น หากมีรถคันอื่นๆ มาอยู่ใกล้ๆ ก็จะเป็นจุดสีแดงกระพริบๆ ที่กระจกข้าง ทำให้เรารู้ว่ามีพาหนะคันอื่นในบริเวณนั้น เพื่อที่เราจะได้เพิ่มความระมัดระวัง เช่น รอให้รถคันนี้แซงไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนทิศทางของรถเรา
- Driver Monitoring รถยนต์ที่ติดตั้งระบบดังกล่าว จะคอยตรวจสอบผู้ขับขี่ว่ามีสติสมประดีหรือไม่ พร้อมจะขับหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ในสภาพเมามายไม่ได้สติ รถยนต์ก็จะไม่ยอมสตาร์ท ในระหว่างขับขี่ รถยนต์จะคอยตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีอาการง่วงหรือไม่ ถ้าตรวจพบมันจะเปิดเพลงหรือส่งเสียงเตือน ในสภาวะที่อันตราย ถ้าผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อการเตือน รถยนต์จะแย่งพวงมาลัยและทำการหยุดรถ (ในภาพยนต์เรื่องเจมส์ บอนด์ รถสามารถดีดตัวผู้นั่งออกไปนอกรถด้วยนะครับ)
- Adaptive Headlamps เป็นการปิดเปิด ปรับความสว่างของไฟหน้าเองตามสภาพแวดล้อม การปรับทิศทางของไฟหน้าให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ทั่วถึง เช่น ระหว่างเลี้ยว เป็นต้น
- Automatic Parking เป็นการขับเข้าที่จอดให้อัตโนมัติสำหรับผู้ขับขี่ที่จอดรถไม่เก่ง ระบบนี้เริ่มมีใช้ในรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อแล้วครับ
- Automotive Night Vision หรือระบบช่วยมองในเวลากลางคืน ปัจจุบันมีใช้กันในรถยนต์หลายยี่ห้อแล้วครับ หรืออาจจะซื้อมาติดตั้งเองก็ได้ แต่ในอนาคตผมเชื่อว่าระบบนี้จะมีอยู่ในรถยนต์ทุกคัน ระบบที่ฉลาดๆ หน่อยจะสามารถตรวจหาจักรยาน คนเดินเท้า หรือ สัตว์ ที่กำลังเดินข้างถนน แล้วจะเตือนเราให้ระวังด้วยครับ
- Traffic Sign Recognition หรือระบบจดจำป้ายจราจร มันจะตรวจสอบและวิเคราะห์ความหมายของป้ายจราจร แล้วจะคอยเตือนเราด้วยเสียง เช่น ป้ายให้ลดความเร็ว หรือ ให้ชะลอรถเข้าสู่ทางแยก หรือ ทางโค้งอันตราย ซึ่งก็จะเป็นระบบที่ช่วยเป็นเพื่อนร่วมทาง และคอยดูทางให้เราอีกทีหนึ่งครับ ในอนาคตระบบนี้สามารถคุยได้โดยตรงกับถนน (Smart Highway) เพื่อรับข้อมูลที่สำคัญเข้ามา แล้วมาเตือนหรือช่วยเหลือคนขับ เช่น สภาพการจราจรในเส้นทางที่เรากำลังจะไป เป็นต้น
- Crash Avoidance เป็นเทคโนโลยีสำหรับหลีกเลี่ยงการชน ซึ่งจะคอยตรวจตราสภาพการขับขี่ของเรา ตรวจตรารถคันหน้า เช่น หากมีการเบรคกะทันหัน แล้วมันคิดว่าเราตอบสนองช้าเกินไป มันจะแย่งเบรคและพวงมาลัยไปจากเราเพื่อไม่ให้การชนเกิดขึ้น ระบบนี้ยังครอบคลุมไปถึงการคุยกันระหว่างรถยนต์ เพื่อป้องกันวิถีการชนด้วยครับ เช่น ในบริเวณทางแยก เมื่อรถของเราเข้าทางแยกพร้อมกับรถอีกคัน รถยนต์ทั้งคู่จะสื่อสารกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชนกัน
- Pre-crash System เป็นระบบการช่วยป้องกันคนในรถ เมื่อรถยนต์คำนวณแล้วว่าการชนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันจะกระทำอย่างสุดความสามารถเพื่อป้องกันคนนั่ง เช่น การปรับมุมการชน การเปิดใช้ถุงลมนิรภัย การปรับเบาะนั่งให้ลดแรงกระแทก และส่งข้อมูลเพื่อขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยกูภัย ตำรวจทางหลวง และสถานพยาบาล
- Health Monitoring คนเราใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่ในรถ ดังนั้นในอนาคต เราจะได้เห็นรถที่เมื่อเราขึ้นมานั่ง จับพวงมาลัย รถจะทำการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด แล้วเก็บข้อมูลนั้นไว้ หรืออาจจะส่งข้อมูลไปยังโรงพยาบาลที่เราใช้บริการอยู่ ดังนั้น นอกจากเราจะต้องเอารถเข้าศูนย์เมื่อถึงเวลาที่รถเตือนแล้ว (ในอนาคต รถจะไม่เข้าศูนย์ตามจำนวนกิโลเมตรเหมือนตอนนี้ มันจะบอกเราเองว่า มันต้องการเข้าศูนย์เมื่อไหร่ แล้วจะทำการติดต่อนัดรับรถให้เราเสร็จ) มันยังอาจเตือนเราให้ไปพบแพทย์ด้วย
ในตอนต่อๆ ไป ผมจะนำรายละเอียดของเทคโนโลยีที่น่าสนใจบางชนิด มาเล่าให้ฟังนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น