เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมานั้น เป็นวันประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่คนผิวสีได้ถูกรับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี แต่ในมุมมองของผมนั้น ตรงนั้นกลับไม่สำคัญเท่าไหร่นัก สิ่งที่ผมมองคือ ชาวอเมริกันเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ เลือกที่จะออกจากความเสื่อมถอยที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่หรือไม่ ถ้าชาวอเมริกันยังเลือกพรรครีพับบลิกันอยู่ นั่นคงจะเป็นการเสื่อมถาวรของประเทศนี้ แต่ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็เลือกทางเดินที่จะเปลี่ยนตัวเอง ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ......
ในแง่ของวิทยาศาสตร์นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ ทุกๆเดือนตุลาคมของทุกๆ ปี เรามักจะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน เข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือรางวัลโนเบล แต่เดือนตุลาคม 2008 นี้ช่างเงียบเหงาสำหรับวงการวิทยาศาสตร์อเมริกัน ว่ากันว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนฝันร้ายของวงการนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Alternative Energy ซึ่งประธานาธิบดีบุช ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยครับ Professor Steven Chu นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ค.ศ. 1997 จากผลงานการหยุดและกักขังหน่วงเหนี่ยวอะตอม (Laser Cooling and Trapping of Atoms) กล่าวว่า "ยังมีโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะทำอะไรได้ เพื่อไม่ให้อเมริกาตกต่ำไปกว่านี้ รัฐบาลกลางต้องลงทุนหนักๆ ให้แก่ มหาวิทยาลัยบางแห่ง ห้องปฏิบัติการแห่งชาติสัก 2-3 แห่ง ให้เงินไปถึงคนเจ๋งๆ ที่ทำงานได้จริงๆ" ศาสตราจารย์ Chu เป็นผู้ออกโรงเตือนรัฐบาลของบุชอยู่บ่อยๆ ว่า หากขืนยังปล่อยให้งานวิจัยแบบ Short-term Research ที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากลืนกินงานวิจัยแบบ Long-term fundamental research ที่มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ไว้เก็บกินยาวๆ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ท่านบ่นอย่างเศร้าๆ แถมทำตาปริบๆ เมื่อประเทศกลุ่ม EU ออกมาประกาศความสำเร็จของเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ ที่กำลังจะไขความลับของจักรวาล
ความมีวิสัยทัศน์ ความกระตือรือร้น และ ความเก่งของ Steven Chu ทำให้เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา ในรัฐบาลของ Barack Omaba นี้ ปัจจุบันท่านศาสตราจารย์ Chu ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory อยู่ครับ ห้องทำงานของท่านสวยมาก เห็นสะพาน Golden Gate ด้วยครับ ซึ่งจริงๆผมก็เคยไปนั่งเล่นในห้องนั้นมาแล้วครับ ก็รู้สึกเสียดายแทนท่านที่จะต้องย้ายไปอยู่วอชิงตันแทน หากได้รับตำแหน่งใหม่นี้
หาก Professor Steven Chu ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีพลังงานจริง ท่านจะเป็นคนแรกที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานที่เคยได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งยังเป็นคนผิวสีอีกด้วย (Asian American)
ในแง่ของวิทยาศาสตร์นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ ทุกๆเดือนตุลาคมของทุกๆ ปี เรามักจะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน เข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือรางวัลโนเบล แต่เดือนตุลาคม 2008 นี้ช่างเงียบเหงาสำหรับวงการวิทยาศาสตร์อเมริกัน ว่ากันว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนฝันร้ายของวงการนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Alternative Energy ซึ่งประธานาธิบดีบุช ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยครับ Professor Steven Chu นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ค.ศ. 1997 จากผลงานการหยุดและกักขังหน่วงเหนี่ยวอะตอม (Laser Cooling and Trapping of Atoms) กล่าวว่า "ยังมีโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะทำอะไรได้ เพื่อไม่ให้อเมริกาตกต่ำไปกว่านี้ รัฐบาลกลางต้องลงทุนหนักๆ ให้แก่ มหาวิทยาลัยบางแห่ง ห้องปฏิบัติการแห่งชาติสัก 2-3 แห่ง ให้เงินไปถึงคนเจ๋งๆ ที่ทำงานได้จริงๆ" ศาสตราจารย์ Chu เป็นผู้ออกโรงเตือนรัฐบาลของบุชอยู่บ่อยๆ ว่า หากขืนยังปล่อยให้งานวิจัยแบบ Short-term Research ที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากลืนกินงานวิจัยแบบ Long-term fundamental research ที่มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ไว้เก็บกินยาวๆ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ท่านบ่นอย่างเศร้าๆ แถมทำตาปริบๆ เมื่อประเทศกลุ่ม EU ออกมาประกาศความสำเร็จของเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ ที่กำลังจะไขความลับของจักรวาล
ความมีวิสัยทัศน์ ความกระตือรือร้น และ ความเก่งของ Steven Chu ทำให้เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา ในรัฐบาลของ Barack Omaba นี้ ปัจจุบันท่านศาสตราจารย์ Chu ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory อยู่ครับ ห้องทำงานของท่านสวยมาก เห็นสะพาน Golden Gate ด้วยครับ ซึ่งจริงๆผมก็เคยไปนั่งเล่นในห้องนั้นมาแล้วครับ ก็รู้สึกเสียดายแทนท่านที่จะต้องย้ายไปอยู่วอชิงตันแทน หากได้รับตำแหน่งใหม่นี้
หาก Professor Steven Chu ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีพลังงานจริง ท่านจะเป็นคนแรกที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานที่เคยได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งยังเป็นคนผิวสีอีกด้วย (Asian American)