(Picture from http://sciencemedicine.wordpress.com)
ปีนี้เป็นปีพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ ซึ่งชาวพุทธได้ถือโอกาสแสดงการระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี ในฐานะพระโพธิสัตว์มายาวนานถึง 20 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัปป์ เพื่อที่จะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ นำสิ่งที่พระองค์ค้นพบนี้มาบอกกล่าวแก่ชาวโลก สิ่งที่เป็นความลับมานานแสนนาน นั่นคือเรื่องของวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด ความลับที่เกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบตั้งแต่ 2,600 ปีที่แล้ว แต่วิทยาศาสตร์พึ่งจะมาตื่นตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง
สิ่งที่วิทยาศาสตร์ข้องใจมานานแสนนาน นั่นคือ ตกลงจิตใจคืออะไร มาอยู่กับร่างกายได้อย่างไร นักประสาทวิทยาเกือบทั้งหมดมีความเชื่อแบบวัตถุนิยมว่า จิตใจ ไม่มีจริง .... ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ สติสัมปชัญญะ ทั้งหมดเกิดที่สมอง สมองเป็นตัวทำงาน เป็นเครื่องจักรของความคิด ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อร่างกายแตกดับ สมองตาย ตัวเราก็ไร้ตัวตน มันจะตายไปกับร่างกายนั่นเอง ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่า ความเชื่อแบบนี้ค่อนข้างจะสุดโต่งไปหน่อย เพราะแท้ที่จริง วิทยาศาสตร์ไม่ได้ขัดขวางแนวคิดที่ว่า จิตใจ เป็นสิ่งที่แยกออกมาจากร่างกาย และสามารถถ่ายเทไปยังร่างกายใหม่ได้ เพียงแต่ว่า ความก้าวหน้าในศาสตร์ทางด้านนี้ยังอ่อนเยาว์ เรายังต้องการความรู้ ความเข้าใจอีกมาก และต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความเชื่อนี้
เมื่อปี ค.ศ. 2009 สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (NIH) สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการ Human Connectome Project หรือ โครงการทำแผนที่สมอง ซึ่งมีเป้าหมายจะไขความลับการทำงานของจิตใจ โดยการทำแผนที่รายละเอียดการทำงานของสมองในระดับเซลล์ประสาทเลยทีเดียว คือ เข้าไปดูว่าเซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นงานมหาโหดมากๆ เพราะเซลล์ประสาทหนึ่งเซลล์ มีการเชื่อมต่อกับเซลล์อื่นๆ ถึงประมาณ 7,000 เซลล์ ลองคิดดูแล้วกันครับว่า สมองของเรามีเซลล์ประสาทอยู่ 100,000,000,000 เซลล์ มันจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำแผนที่จุดเชื่อมต่อนั้นได้หมด
ดังนั้น สิ่งที่โครงการนี้จะทำ จะไม่ใช่การสแกนสมองทั้งหมด แต่จะทำการสะสมองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ โดยเจาะโจทย์เล็กๆ ไปทีละข้อ สองข้อ ในการนี้ นักวิจัยจะศึกษาคนจำนวน 1200 คน ซึ่งมุ่งไปที่ฝาแฝด และพี่น้อง จากครอบครัว 300 ครอบครัวที่สมัครใจ ซึ่งจะทำให้สามารถทำแผนที่สมองในเรื่องของความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม ทำให้รู้ว่าแฝดที่เหมือนกันเป๊ะ จะมีความแตกต่างในสมองตรงไหนบ้าง
เครื่องมือสำคัญในการทำแผนที่สมองก็คือเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเราอาจจะเคยเห็น หรือคุ้นเคยกันบ้าง ในโฆษณา ละคร หรือ หนัง ที่เราจะเห็นเครื่องใหญ่ๆ มีรูตรงกลาง แล้วให้คนนอนนิ่งๆ อยู่ข้างในเครื่อง ซึ่งจะทำการสแกนกิจกรรมของเซลล์ที่สนใจ โดยโครงการนี้จะมีการพัฒนาเครื่อง MRI ที่มีรายละเอียดสูง เพื่อติดตามการทำงานของเซลล์สมอง
วันหลังมาคุยกันต่อนะครับ ......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น