30 มิถุนายน 2551

The Rise of Oil and the End of Oil Business


ข่าวที่ประเทศซาอุดิอาระเบียจะมาตั้งบริษัทเพื่อปลูกข้าวในประเทศไทย เป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องที่ปลุกกระแสขึ้นมาใช้เล่นงานคู่แข่งในทางการเมือง ไม่ใช่แค่ซาอุฯ เท่านั้นหรอกครับที่อยากเข้ามา ชาติอาหรับทั้งหลายอยากเข้ามาทั้งนั้น แล้วเขาไม่ได้มองแค่เรื่องข้าวเท่านั้น เขาคิดจะเข้ามาในประเทศไทย เพื่อพัฒนาระบบเกษตรความแม่นยำสูง และ ฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อใช้ผลิตพืชผลเกษตรแบบทันสมัย แล้วขายให้ได้ราคาอย่างน้ำมันด้วย เขามองว่าทรัพยากรน้ำมันใต้ดินของเขานั้นมันไม่จีรัง เงินกำไรที่ได้จากน้ำมันในช่วงนี้ เขาใช้มันทุกบาททุกสตางค์เพื่อพัฒนาประเทศ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทางเลือก นาโนเทคโนโลยี ปิโตรเคมี การท่องเที่ยว การแพทย์ การศึกษา เขาตั้งใจจะเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ศูนย์กลางเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ศูนย์กลางการแพทย์ ศูนย์รวมการศึกษา เงินที่ได้จากน้ำมันตอนนี้ เขาทุ่มเททางนี้หมด จะเห็นว่ามีโปรเจคต์ใหม่ๆ ออกมาเพียบที่ทำให้โลกตะลึง ไม่ว่าจะเป็น Masdar City เมืองพลังงานทางเลือก งานอลังการแนว Geoengineering อย่าง Palm Island ผู้นำของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า ธุรกิจน้ำมันของซาอุฯนั้นมีมูลค่า 1/3 ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงเกินไป เพราะธุรกิจน้ำมันมีลักษณะ Capital-Intensive หรือใช้ทุนเยอะ แต่เกิดการจ้างงานน้อย ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่น้ำมัน จะจ้างงานได้มากกว่าเยอะ ซาอุจึงจำเป็นต้องสร้างธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับน้ำมันขึ้นมามากๆ เห็นหรือยังครับ ประเทศไทยไม่น่าภูมิใจเลยที่บริษัท ปตท. ของเราติด 500 อันดับของโลก เพราะบริษัทนี้ไม่ได้สร้างงานให้คนไทยนักหรอกครับ เห็นวิสัยทัศน์ประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรน้ำมันแล้วก็อึ้ง .......


ไม่แปลกหรอกครับที่เขาให้ความสนใจลงทุนเรื่องเกษตรในประเทศไทย เพราะอีกไม่นาน เขาต้องการมาเรียนรู้การผลิตอาหารในบ้านเรา อีกอย่างตอนนี้เขาพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งกำลังขึ้นมาแข่งขันกับ ปตท. และ SCG ของเราครับ เขากำลังสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปุ๋ยที่ผลิตได้ก็จะมาตีตลาดบ้านเราในไม่ช้า ผลิตภัณฑ์พลาสติกของเขาก็จะมาใช้ทางการเกษตรและอาหารในบ้านเราด้วย นี่แหล่ะครับ เขาใช้น้ำมัน เพื่อจะออกจากธุรกิจน้ำมัน ..........

26 มิถุนายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 3)


เมื่อโลกร้อนเพราะแสงอาฑิตย์ส่องเข้ามามากเกินไป เราก็ต้องห่มผ้าให้โลก เพื่อให้โลกรับแสงอาฑิตย์น้อยลง ไอเดียอันบรรเจิดนี้มาจากศาตราจารย์ พอล ครูทเซล (Paul Crutzel) นักเคมีรางวัลโนเบล ค.ศ. 1995 ผู้ที่ค้นพบว่าของเสียที่ปล่อยออกมาจากอุตสาหกรรมทั้งหลายได้ขึ้นไปทำลายชั้นโอโซน แต่มาตอนนี้ท่านกลับเสนอให้ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นมลพิษนี้ในบรรยากาศชั้นสตาร์โตสเฟียร์ เพื่อให้ก๊าซนี้สะท้อนแสงอาฑิตย์กลับเข้าไปในบรรยากาศ แล้วทำให้โลกเย็นลง การกระทำเช่นนี้เป็นการเลียนแบบการเกิดภูเขาไฟระเบิดนั่นเอง เพราะทุกครั้งที่มีการระเบิดของภูเขาไฟนั้น จะมีการปล่อยกลุ่มควัน เถ้าถ่าน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ขึ้นสู่บรรยากาศชั้นบน ทำให้พื้นผิวโลกที่อยู่ใต้บริเวณนั้นเย็นลง ดังเช่น การระเบิดของภูเขาไฟปินาทูโบ (Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ. 1991 นั้นได้ปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาถึง 20 ล้านตัน ซึ่งมีผลให้อุณหภูมิของโลกลดลงถึง 0.5 องศาเซลเซียส ศาสตราจารย์พอลได้เสนอวิธีที่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์โดยการปล่อยบอลลูนที่บรรจุก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ขึ้นไปปล่อยในชั้นบรรยากาศ หรืออาจบรรจุในถังแล้วยิงขึ้นไปด้วยปืนใหญ่ให้ไปแตกระเบิดออกในชั้นบรรยากาศ ท่านได้คำนวณจำนวนของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ควรปล่อย ราคาของโครงการ รวมไปถึงรายละเอียดต่างๆ แนวความคิดอันสุดโต่งและล้ำลึกของท่านนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากพยายามทำวิจัยหาข้อมูลเพิ่มทั้งเพื่อยืนยันและหักล้างแนวคิดนี้ ศาสตราจารย์ครูทเซลได้กล่าวว่า หากโลกเราไม่มีความสามารถในการหยุดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้เร็วที่สุด นี่ก็อาจจะเป็นทางออกเดียวที่พอทำได้ที่จะหยุดโลกร้อน
ภาพบน - การระเบิดของภูเขาไฟปินาทูโบ (Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ. 1991 นั้นได้ปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาถึง 20 ล้านตัน ซึ่งมีผลให้อุณหภูมิของโลกลดลงถึง 0.5 องศาเซลเซียส

25 มิถุนายน 2551

Virtual Fence - คอกอิเล็กทรอนิกส์


ใครที่ชอบขับรถไปเที่ยวชนบทต่างจังหวัด น่าจะมีประสบการณ์อย่างน้อยก็สักครั้ง ที่ต้องระวังฝูงวัวที่กำลังข้ามทางหลวง ไปหาที่เล็มหญ้าอร่อยๆกิน บ่อยๆ ที่เห็นฝูงวัวเหล่านั้นเล็มหญ้าริมทางหลวง แล้วเสียวไส้ กลัวพวกมันจะเดินขึ้นมาบนไหล่ทาง แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะรู้ว่าห้ามขึ้นไปบนทางหลวงนะ จริงๆ แล้ววัวเขารู้ว่าขอบเขตของการกินอยู่ที่ทางหลวง เพราะมันมีเส้นแบ่งชัดเจน แต่ถ้าเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ล่ะ มันจะรู้มั้ย แน่นอนถ้าปล่อยให้พวกมันกินหญ้าไปเรื่อยๆ มันก็เดินของมันไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจออกนอกอาณาเขตของฟาร์มได้ จึงทำให้เกิดแนวคิดในการล้อมคอกฝูงวัว โดยใช้ Virtual Fencing ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ไปติดบนหัววัว อุปกรณ์นี้ประกอบด้วย GPS เพื่อดูพิกัดที่วัวอยู่ แบตเตอรี โซลาร์เซลล์ Accelerometer กับ Magnetometer เพื่อดูทิศทางที่วัวกำลังเดินหรือมันกำลังเคลื่อนร่างกายอย่างไรอยู่ หากวัวกำลังจะออกนอกเขตรั้ว ขั้วไฟฟ้าที่จิ้มอยู่ที่ข้างแก้มจะปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นวัว ให้เดินกลับมา พร้อมกันนั้นที่หูของมันยังมีหูฟังเพื่อปล่อยเสียงเรียกพวกมัน หรือ บอกให้มันมารวมฝูงกัน เพื่อเดินกลับไปที่พัก อุปกรณ์ที่ติดกับวัวนี้ยังเชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย เพื่อให้ติดต่อกันได้ นักวิจัยยังใช้ข้อมูลต่างๆ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการรวมฝูง การกินอาหาร ซึ่งจะมีประโยชน์ในศาสตร์ของ Swarm Computing หรือ การประมวลผลแบบฝูง


ต่อไปแบบนี้ก็คงมีให้ใช้กับมนุษย์ เหมือนกับในภาพยนตร์เรื่อง Fortress ไงครับ .......

24 มิถุนายน 2551

PackBot - Soldier's Best Friend


สุนัขได้รับฉายาว่าเป็น Man's Best Friend ในทุกสถานการณ์ทั้งในยามสงบและวิกฤต แต่มันกำลังจะถูกแทนที่ในสนามรบด้วยหุ่นยนต์ สิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่แห่งโลกอนาคต ตั้งแต่ขึ้นต้นศตวรรษใหม่เป็นต้นมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบของอเมริกันจากการใช้มนุษย์ มาเป็นการใช้เครื่องจักรให้มากที่สุด เพนทากอนได้สนับสนุนเงินทุนวิจัยจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างกองทัพหุ่นยนต์ที่ไร้เทียมทาน ทั้งบนบก ในน้ำและอากาศ โดยหวังว่าต่อไป มนุษย์จะเป็นผู้ออกคำสั่งให้หุ่นยนต์เหล่านั้นออกไปทำสงคราม วันหลังผมจะทยอยมาเล่าให้ฟังต่อนะครับว่า กองทัพไร้วิญญาณที่อเมริกากำลังจะสร้างขึ้นมานั้น มันมีความไฮเทค ลึกล้ำ พิศดารขนาดไหน แต่วันนี้ผมจะพูดถึงหุ่นยนต์แบบหนึ่งที่ทหารสหรัฐฯในแนวหน้า มีมันไว้ใช้เหมือนสุนัขหนึ่งตัวเลยทีเดียว มันมีชื่อว่า PackBot

เจ้า PackBot เป็นหุ่นยนต์เอนกประสงค์ของกองกำลังสหรัฐ มันถูกใช้งานครั้งแรกในอัฟกานิสถาน และใช้ต่อมาในสงครามอิรัก ทหารจะใช้มันเดินเข้าไปสำรวจถ้ำ บ้าน แหล่งหลบซ่อน เคลียร์ระเบิด ไปจนถึงกับติดปืนกลเพื่อออกไประดมยิงใส่ข้าศึกในที่หลบซ่อนไม่เห็นตัว มันมีน้ำหนักเพียง 18 กิโลกรัม ติด GPS เข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ และระบบคอมพิวเตอร์เพนเตียม ซึ่งต่อภายนอกด้วย USB และ Ethernet ด้วยความง่ายในการใช้งาน ง่ายต่อการดัดแปลงติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆเพิ่มเติม มันจึงถูกผลิตออกมามากกว่า 1,500 ตัว PackBot สามารถถูกโปรแกรมให้ทำงานเป็นฝูงด้วยตัวเองแบบกึ่งอัตโนมัติ มันจะทำงานประสานกัน คุยติดต่อกันเองและกับมนุษย์ เพื่อเข้าโอบล้อมเป้าหมาย และโจมตีข้าศึก ผมจึงยกให้มันเป็น The Solider's Best Friend ครับ ........

23 มิถุนายน 2551

Solar/Bio/Nuclear - รัก/สาม/เศร้า ของโลกพลังงานเมืองไทย


ด้วยราคาน้ำมันถังละ 130 เหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะไต่ไปถึง 200 เหรียญในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ทำให้โอกาสเกิดขึ้นของพลังงานทางเลือกนับวันก็ยิ่งจะสูงขึ้น ในบทความก่อนๆที่ผ่านมา ผมได้ทยอยนำเรื่องราวต่างๆ ของประเทศยุโรป ซึ่งเคยเป็นผู้นำเข้าพลังงาน มาเล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้เขาเริ่มจะเข้าสู่สังคมของพลังงานพอเพียง และพึ่งตนเองได้ทางด้านพลังงาน และในอนาคตอันใกล้นี้ เขาจะเริ่มส่งออกเทคโนโลยีสำหรับผลิตพลังงานพอเพียงเหล่านั้นมาทางเอเชียครับ ที่ยุโรปไปได้ไกลและเร็วในเรื่องการพึ่งตัวเองทางพลังงาน เพราะเขามีการใช้นโยบายพลังงานอย่างเข้มแข็งและฉลาด ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างในบ้านเรา ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงของรักสามเส้าระหว่าง Solar/Bio/Nuclear คือไม่รู้จะเลือกรัก เลือกใช้พลังงานไหนอย่างจริงจัง ใครสนับสนุนปีกไหนก็เทใจและขัดขวางทางเลือกของอีกฝั่ง ประเทศไทยจึงยังไม่ไปไหน เหมือนความรักของ ฟ้า-น้ำ-พายุ ในภาพยนตร์ รัก/สาม/เศร้า ที่ต้องปิดฉากลงด้วยความเศร้าของทั้งสามฝ่าย ผมหวังว่าประเทศไทยคงลงเอยในเรื่องของพลังงานพอเพียง อย่ารอให้น้ำมันไปถึงบาร์เรลละ 200 เหรียญแล้วค่อยตัดสินใจเลยครับ ........


22 มิถุนายน 2551

หุ่นรบเหนือท้องฟ้า


ท่านที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง "คนเหล็ก" หรือ Terminator ซึ่งเป็นเรื่องของมหาสงครามระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร คงจะจำหุ่นยนต์รบที่ขับเองได้ บินไปบินมาเหนือซากปรักหักพัง คอยตามล่าและกำจัดสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่ ไม่ใช่สิ ..... พวกมันตามล่ามนุษย์เท่านั้น เพราะพวกมันได้นิยามพวกมันเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งเช่นกัน ตอนนี้ กองทัพสหรัฐฯ กำลังมีแผนจะนำเจ้าหุ่นยนต์รบที่ว่าเนี่ยเข้าประจำการในอีก 2 ปีข้างหน้าแล้วครับ หุ่นยนต์รบนี้มีชื่อว่า Vertical Take-off and Landing Swift Tactical Aerial Resource ชื่อย่อของมันก็คือ V-STAR รับจ้างวิจัยพัฒนาและผลิตโดยบริษัท Frontline Aerospace Inc. มันมีความยาวลำตัว 6.5 เมตร และกว้าง 5 เมตร บินได้สูง 4.6 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 530 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถบินได้ไกลถึง 1000 กิโลเมตรเลยทีเดียว แรกเริ่มที่ประจำการ เจ้าหุ่นจะทำหน้าที่ขนเสบียง อาวุธ ยา อาหาร ให้กับหน่วยรบแนวหน้า โดยทหารในแนวรบเพียงเปิดเครื่อง Notebook แล้วคีย์คำสั่งร้องขอยุทธภัณฑ์ เจ้าหุ่นจะบินมาส่งของให้ในแนวรบ โดยไม่ต้องเสี่ยงใช้คน แน่นอนเจ้าหุ่นยนต์รบลอยฟ้านี้ใช้นาโนวัสดุสุดไฮเทคที่กองทัพเก็บเป็นความลับด้วย

21 มิถุนายน 2551

Energy Farm & Micropower (ตอนที่ 2)


วันนี้มาเล่าต่อถึงแนวโน้มของการผลิตพลังงานใช้เองกันในบ้าน หรือ ชุมชน ซึ่งกำลังเป็นกระแสที่มาแรงมาก ซึ่งทำให้ในขณะนี้การผลิตกระแสไฟฟ้าระดับชุมชน หรือ micropower มีกำลังผลิตทั่วโลกมากกว่า 16% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ทั้งโลก (ข้อมูลจาก International Energy Agency ปี ค.ศ. 2006) แซงหน้าพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นไปแล้วครับ ประเทศสวีเดนถึงกับประกาศว่า ในปี ค.ศ. 2020 จะหยุดนำเข้าน้ำมันและก๊าซ ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการผลิตพลังงานแบบ Micropower และสร้าง Energy Farm ให้เพียงพอใช้งานในประเทศ ประเทศเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากที่สุดในโลก นั้นเริ่ม Micropower มาก่อนใครเลยครับ เพราะเขาทำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ซึ่งเป็นช่วงหลังวิกฤตน้ำมันครั้งแรก ทำให้วันนี้เดนมาร์กเป็นประเทศที่เดือดร้อนจากวิกฤตน้ำมันครั้งที่ 2 น้อยที่สุด ทุกวันนี้เดนมาร์กผลิตไฟฟ้าจากโรงงานไฟฟ้าไม่ถึง 33% ที่เหลือผลิตจากบ้านและชุมชนทั้งหมด เดนมาร์กเป็นประเทศที่จำนวนการใช้พลังงานต่อ GDP ต่ำที่สุดในโลก เดนมาร์กยังเป็นประเทศที่มีนวัตกรรมสูงมากครับ เขามีโครงการ Energy Internet คือทำให้พลังงานไฟฟ้ามีการเชื่อมต่อโยงใยกันทั้งกลุ่มสแกนดิเนเวีย ในช่วงที่ลมพัดแรงตามชายฝั่งของเดนมาร์ก Wind Farm จะทำงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยจะส่งข้อมูลไปบอกเขื่อนพลังงานน้ำในประเทศนอร์เวย์ให้หยุดทำงาน เพื่อประหยัดน้ำเอาไว้ใช้ปั่นไฟในช่วงลมสงบ ระบบ Energy Internet ยังเชื่อม Solar Farm และเครื่องผลิตไฟฟ้าแบบอื่นๆ เช่น Biomass ให้สามารถผลิตไฟฟ้าต่อเนื่อง โดยจะใช้ Smart Meters เพื่อคิดค่าไฟฟ้าที่สอดคล้องกับต้นทุน ณ เวลานั้นๆ

20 มิถุนายน 2551

มาเลเซียผงาด แซงไทยสู่อันดับ 1 ด้านนาโนเทคโนโลยีในอาเซียนแล้ว


กลับมาแล้วครับ หายไปหลายวัน ผมได้ไปเข้าร่วมประชุม The 2nd International Conference on Functional Materials and Devices หรือ ICFMD2008 ระหว่างวันที่ 16-19 มิถุนายน 2551 นี้ ซึ่งจัดที่กัวลาลัมเปอร์ครับ มาบอกข่าวคราวกันว่า มาเลเซียเขานำหน้าไทยทางด้านนาโนเทคโนโลยีไปเรียบร้อยแล้วครับ ในการประชุมนี้ผมได้พบว่า มาเลเซียเขาตั้งอกตั้งใจโฟกัสในเรื่องไม่กี่เรื่อง แล้วทำกันเป็นล่ำเป็นสัน หลายมหาวิทยาลัย นั่นคือเรื่องของพลังงานครับ เขาทำเรื่อง Li-ion Battery ค่อนข้างมาก ซึ่งก็เน้นพวก Thin-Film Battery อย่าไปคิดว่าเขาว่าทำไปทำไมนะครับ เพราะ Battery เป็นหัวใจของอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกอย่างที่เคลื่อนที่ได้ รวมทั้งรถยนต์นะครับ อีกไม่กี่ปีเราอาจจะเห็นโรงงานผลิตแบตเตอรีย้ายมาอยู่ที่มาเลเซีย อีกเรื่องคือ Solar Cell ครับ ทำกันเยอะมากๆ แล้วก็เรื่อง Alternative Energy โดยเฉพาะจาก Palm เพราะเขาปลูกเยอะ รอบๆ สนามบิน KLIA ซึ่งถูกโหวตให้เป็นหนึ่งในสนามบินที่ดีที่สุดในโลกนั้น ก็มีแต่ปาล์ม เป็นอาณาบริเวณนับแสนไร่นับล้านไร่ มาเลเซียเขาสนับสนุนเรื่องของพลังงานอย่างจริงจัง ให้เงินสนับสนุนการวิจัยทางด้านนี้มากกว่าไทยหลายเท่าตัว งานที่เขาทำก็ดูจะไปไกลกว่าบ้านเรา เขาทำงานที่เทคโนโลยีสูง มีการสนับสนุนให้อาคารธุรกิจต่างๆ ติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ระบบ Hybrid Energy ในการประชุมครั้งนี้เขาสามารถเชิญ Journal มาคัดเลือกบทความดีๆ ไปตีพิมพ์ได้ถึง 5 Journal ซึ่งก็ไม่เคยมีการประชุมทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่ไหนในเมืองไทย ทำได้ใกล้เคียงแบบนี้เลยครับ

14 มิถุนายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 2)


วิศวกรรมดาวเคราะห์ หรือ Geoengineering กำลังจะกลายมาเป็นศาสตร์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใดๆ ที่กระทำโดยสิ่งมีชีวิตจะยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว เพราะมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อให้หลุดพ้นจาก Global Warming ลองจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของโครงการนี้สิครับ ทะเลทรายที่มีแต่ทรายจะถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้สามารถปลูกพืชได้ โดยการใช้พืชดัดแปรพันธุกรรม จะมีการปล่อยอนุภาคเหล็กลงไปในทะเลครั้งใหญ่ เพื่อช่วยให้พวกสาหร่ายและแพล็งตอนสามารถเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น และดูดกลืนคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้น การปล่อยสารเคมีที่ช่วยรักษาชั้นโอโซน การปล่อยอนุภาคที่สะท้อนแสงอาฑิตย์ในชั้นบรรยากาศเพื่อลดแสงแดดที่ตกกระทบโลก การอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอซซิล กลับลงไปใต้พื้นพิภพหรือพื้นทะเล ไปจนถึงการสร้างแผงเซลล์สุริยะ หรือ กระจกบานใหญ่ขนาดเป็นร้อยกิโลเมตร ในวงโคจรรอบโลกเพื่อลดแสงอาฑิตย์ที่ส่องเข้ามายังผิวโลก ซึ่งจะเห็นว่าหากต้องการเปลี่ยนฟ้าแปลงโลกให้ได้ผลจริงๆ จะต้องร่วมกันทำทั้งโลก และต้องทำหลายๆอย่างพร้อมๆ กันครับ อย่างไรก็ดีก็มีผู้ไม่เห็นด้วยกับ Geoengineering อยู่แน่นอนครับ กับประเด็นที่ว่า มนุษย์เรามีความรู้เกี่ยวกับความซับซ้อนและปฏิสัมพันธ์กันระหว่างระบบต่างๆที่มีขนาดใหญ่อย่างดาวเคราะห์เพียงพอแล้วหรือ แต่ผู้สนับสนุน Geoengineering ก็แย้งว่าการอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร ก็รังแต่จะรอวันสิ้นโลกเท่านั้น สู้เสี่ยงทำอะไรแบบมีสติก็น่าจะดีกว่า


วันหลังผมจะนำรายละเอียด ของวิธีการเปลี่ยนฟ้าแปลงโลก ที่มีการเสนอขึ้นมาเล่าให้ฟังครับ .......

13 มิถุนายน 2551

IEEE ROBIO 2008 (2008 IEEE International Conference on Robotics and Biomimetics)


เมื่อสัก 2-3 วันก่อน มีนิตยสารด้านอุตสาหกรรมฉบับหนึ่งโทรมาถามผมว่า มีอะไรฮ็อตๆ เจ๋งๆ ในช่วงนี้บ้าง นอกจากนาโนวัสดุและนาโนเทคโนโลยี นี่เลยครับ .... Biomimetic Engineering หรือ วิศวกรรมเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งกำลังมาแรงแซงขวาขึ้นมาอยู่แถวหน้าของโลกวิศวกรรม อยู่ ณ ขณะนี้ Biomimetics อาจแบ่งออกได้เป็น 3 แนวทาง ได้แก่ (1) Mechanism-driven Biomimetics เป็นแนวทางที่ต้องการแก้ปัญหาทางวิศวกรรม โดยแสวงหาตัวอย่างในธรรมชาติ เข้าไปศึกษามันเพื่อให้เข้าใจ จากนั้นนำองค์ความรู้มาแก้โจทย์ที่ตั้งไว้แล้ว เช่น Self-cleaning Materials (Lotus Effect) ที่พยายามหาวัสดุที่ทำความสะอาดตัวเองได้เหมือนใบบัว (2) Organism-Driven Biomimetics เป็นการศึกษาสิ่งมีชีวิตเพื่อเสาะหา สมบัติเด่นๆ ของมันสักอย่าง แล้วนำคุณสมบัตินั้นมาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ตีนตุ๊กแก (3) Integrative Biomimetics เป็นแนวทางที่ผสมผสานแนวทางทั้งคู่ที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การศึกษาการเคลื่อนที่ของแมลงสาบ เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่ สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีข้างเคียง เช่น เซ็นเซอร์ มอเตอร์จิ๋ว กล้ามเนื้อเทียม ก็สามารถพัฒนาไปพร้อมกันได้ด้วย


เป็นที่น่าดีใจครับที่ปลายปีนี้เรากำลังจะมีการประชุมที่เจ๋งๆ นั้นด้วย เพื่อประกาศศักดาว่านักวิจัยไทย ก็เตรียมเข้าไปยืนแถวหน้าของเทคโนโลยีใหม่นี้เหมือนกัน นั่นคือ IEEE ROBIO 2008 ซึ่งมีชื่อเต็มว่า 2008 IEEE International Conference on Robotics and Biomimetics) ซึ่งจะจัดกันที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคม 2551 เขามีกำหนดส่งบทความฉบับเต็ม (ไม่ใช่แค่ Abstract นะครับ) ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 นี้ครับ เนื้อหาก็จะเป็นเรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับ Robotics และ Biomimetics รวมถึงหัวข้อที่เกิดจากการแต่งงานข้ามศาสตร์กัน ระหว่าง 2 สาขานี้ครับ

12 มิถุนายน 2551

Energy Farm - ยุคแห่งพลังงานพอเพียงมาถึงแล้ว


แนวโน้มใหญ่ๆของโลกในศตวรรษนี้ จะเกาะเกี่ยวอยู่กับเรื่องของการย่อส่วน รถยนต์แห่งอนาคตจะเล็กลง เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เล็กลงจนเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เคลื่อนที่ จอภาพที่แบนและบางลงเรื่อยๆ แบตเตอรี่ที่ยิ่งวันยิ่งเล็กลง โรงงานในอนาคตจะเป็นโรงงานแบบตั้งโต๊ะ (Desktop Manufacturing) และอีกเรื่องสำคัญที่ผมยังไม่เคยพูดถึงเลยก็คือ โรงไฟฟ้าจะกลายเป็นเรื่องของอดีตครับ การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแล้วส่งผ่านสายส่งไปตามบ้านเรือนและธุรกิจ ผ่านระบบกริด จะกลายเป็นเรื่องล้าสมัย เพราะในอนาคต ชุมชนต่างๆจะผลิตพลังงานใช้กันได้เอง หรือแม้แต่ผลิตเพื่อส่งออกไปยังกริดเพื่อขาย


เรื่องของ Energy Farm กำลังกลายมาเป็นกระแสในช่วงนี้ ยุคที่โลกร้อนขึ้นๆ กับน้ำมันที่แพงขึ้นๆ ในประเทศเยอรมัน ณ เมืองเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Freiamt ชุมชนแห่งนี้ได้ติดตั้งกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีความสูงกว่า 80 เมตร มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กังหันลมจำนวน 4 ตัวนี้ผลิตไฟฟ้าได้ 1.8 เมกะวัตต์ต่อ 1 ตัวเชียวครับ นอกจากนั้นยังมีครัวเรือนอีกกว่า 270 หลังที่ติดตั้งเซลล์สุริยะเพื่อผลิตน้ำร้อนและไฟฟ้า แล้วยังมีโรงสีอีก 2 แห่ง กับโรงงานขนมปัง 1 แห่งที่มีกังหันน้ำที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากกระแสน้ำได้อีก 15 กิโลวัตต์ ยังไม่พอครับ เกษตรกรที่นั่นเขายังมีการผลิต Biogas จากของเหลือทิ้งทางการเกษตร ซึ่งนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยกังหันความร้อน ซึ่งความร้อนที่ปล่อยออกมา ยังส่งไปตามท่อเพื่อไปใช้อุ่นบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้าเล็กๆนี้ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ชุมชนนี้ไม่เคยต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากภายนอกเลยครับ และเมื่อปี ค.ศ. 2007 นี้ ชุมชนนี้ผลิตไฟฟ้าเหลือใช้ถึง 2.3 ล้านหน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) โดยใช้กันทั้งชุมชนจำนวน 12 ล้านหน่วย


นอกจาก Freiamt แล้ว ชุมชนอื่นๆ ทั่วโลกก็กำลังเกาะกระแสพลังงานพอเพียงนี้กันครับ วันหลังผมจะมาเล่าต่อ ........

11 มิถุนายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 1)


ไม่เป็นที่สงสัยกันอีกแล้วนะครับว่า Global Warming เกิดขึ้นจริงหรือไม่ คงเหลือคนจำนวนน้อยแล้วล่ะครับที่ยังไม่เชื่อเรื่องนี้ ซึ่งก็รวมไปถึงประธานาธิบดีบุชกับเจ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ข่าวร้ายก็คือว่าเราอาจจะไม่สามารถหยุดมันได้แล้วครับ หากยังทำอะไรกันแบบเล็กๆ ไม่เต็มที่ เช่น ลดการใช้น้ำมันหันไปใช้ Biofuel เพราะผ่านมา 10 ปีแล้วที่เรามี Kyoto Protocol แต่ปริมาณการปล่อย CO2 ก็ไม่ได้ลดลงเลย น้ำแข็งที่ขั้นโลกเหนือจะละลายจนไม่เหลือหลอในช่วงหน้าร้อนในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า แต่เดี๋ยวก่อน ......ยังครับ .......ยังมีหวังที่จะหยุดโลกร้อน แต่เราต้องทำอะไรแบบใหญ่ๆ หนักๆ นั่นก็คือใช้การวิศวกรรมโลก หรือ Geoengineering หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Planetary Engineering ซึ่งหากเราคิดจะทำกันจริงๆ ก็จะกลายเป็นอภิมหาโปรเจคต์เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กระทำโดยสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่มีโลกใบนี้ขึ้นมาเลยล่ะครับ


Geoengineering เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ ในอดีตแนวคิดของ Geoengineering เกิดขึ้นเพราะมนุษย์มีความใฝ่ฝันจะไปตั้งรกรากในอวกาศ เช่น ดาวอังคาร ซึ่งมีการเสนอวิธีการต่างๆมากมายครับ เพื่อเปลี่ยนสภาพของดาวอังคารให้สามารถอยู่ได้ เช่น การสร้างพื้นผิวต่าง (Terraforming) การสร้างทะเลสาบ การปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ปรับอุณหภูมิของดาวเคราะห์ ซึ่งทำเพื่อให้เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย แล้วก็สร้างนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา (Ecopoiesis) นาซ่าได้แอบดำเนินโครงการวิจัยลับๆ เกี่ยวกับการทำ Geoengineering เพื่อสร้างโลกใหม่บนดาวอังคาร ทำให้ดาวอังคารกลายเป็นโลกของสิ่งมีชีวิตให้ได้ ฟังดูเหมือนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหมครับ .... แต่เดี๋ยวก่อนครับ .... ตอนนี้ดาวเคราะห์ที่อาจจะได้ทดสอบเทคโนโลยี Geoengineering นี้ไม่ใช่ดาวอังคารแล้วครับ แต่จะเป็นโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่นี่เองครับ ..... เดิมพันคือการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของเราเลยทีเดียว วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ ......

10 มิถุนายน 2551

ASEAN Workshop on Advanced Materials Science and Nanotechnology


เวียดนาม ประเทศที่กำลังมุ่งสู่ความเป็นคู่แข่งของประเทศไทยในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะกีฬา การท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การคมนาคมขนส่ง และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเกาะกระแสนาโนเทคโนโลยีอยู่นี้ก็เช่นกัน เวียดนามก็ไม่ได้น้อยหน้าไทยในการบินตามกระแส และดูเหมือนในหลายๆสาขานั้น จะนำหน้าไทยอยู่ด้วยครับ ในช่วงวันที่ 15-21 กันยายน 2551 นี้เขาจะจัดประชุมวิชาการทางนาโนเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า ASEAN Workshop on Advanced Materials Science and Nanotechnologty (AMSN 2008) เหมือนกับจะประกาศว่า เขาต้องการเป็นผู้นำอาเซียนเลยล่ะครับ โดยจะไปจัดกันที่เมืองนาชาง ซึ่งเป็นเมืองชายหาดอันสวยงาม อยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ไปทางเหนือ 450 กิโลเมตร หัวข้อที่จะเป็นที่น่าสนใจของการประชุมนี้คือ Advanced Materials for Electronics and Photonics, Nanostructured Materials and Devices, Nanotechnology in Life Science and Environmental Technology


นาโนเทคโนโลยีแบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ ยุคนาโนวัสดุ ยุคนาโนอุปกรณ์ และ ยุคระบบนาโนบูรณาการ (Integrated Nano-systems) ประเทศไทยมีนักวิจัยในสาขานาโนวัสดุจำนวนมาก ในขณะที่มีกลุ่มที่ทำงานทางด้านนาโนอุปกรณ์ยังไม่มากนัก ซึ่งน่าเป็นห่วง เพราะจากการประเมินงานวิจัยของนักวิจัยในเวียดนามในการประชุม International Workshop on Nanotechnology and Applications (IWNA 2007) ที่ Vung Tau City ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 15-17 พ.ย. 2550 นั้น ทำให้ทราบว่าเขามีกลุ่มที่ทำทางด้านนาโนอุปกรณ์มากกว่าเมืองไทยซะอีก แม้เมืองไทยจะมีความก้าวหน้าโดยรวมของงานทางด้านนาโนวัสดุมากกว่าเขา แต่หากเขาทำนาโนอุปกรณ์มากกว่าเรา ก็ถือว่าเราแพ้แล้ว เพราะเขากำลังวิ่งอยู่ในยุคที่ 2 ของนาโนเทคโนโลยี

07 มิถุนายน 2551

IEEE-NEMS 2009 - The 4th Annual IEEE International Conference on Nano/Micro Engineered and Molecular Systems


วันนี้ผมขอแนะนำการประชุมทางด้านนาโนเทคโนโลยีประจำปีที่สำคัญงานหนึ่งนะครับ คืองาน IEEE-NEMS 2009 ซึ่งจะจัดกันเป็นปีที่ 4 แล้วครับ โดยก่อนหน้านี้งานนี้เคยจัดที่ซูไห่ กรุงเทพฯ ไหหนาน พอครั้งที่ 4 ก็เลยยังเวียนวนอยู่แถวๆนี้ครับ คือจะจัดกันที่ เสินเจิ้น ครับ ระหว่างวันที่ 5-8 มกราคม 2551 กำหนดส่ง Extended Summay วันที่ 31 กรกฎาคม 2551 นี้ครับ ส่วนเนื้อหาของการประชุมที่เป็นที่สนใจในครั้งนี้ ทาง Conference เขายังไม่ประกาศออกมาครับ แต่คาดว่าน่าจะคล้ายๆกับของปีก่อนหน้านี้ ก็ลองเอาไปดูกันคร่าวๆ ก่อนนะครับ .......


  • Micro/Nano Fabrication

  • Nanorobotics/Nanoassembly

  • Micro/Nano Sensors&Actuators

  • Molecular Self-assembly

  • Micro/Nano Fluidics Molecular Sensors&Actuators

  • Micro/Nano Heat Transfer Nanotube/Nanowire Based Devices

  • Microelectromechanical Systems Bio-Nano-Informatics Fusion

  • Nanoelectromechanical Systems NEMS/Molecular Integration

  • Nanophotonics/Nanoelectronics Molecular Computing

  • Nanomaterials System Cell Engineering

  • Nanobiology/Nanomedicine Applications of MEMS/Nano Device

05 มิถุนายน 2551

Indoor Ski Resort - เปลี่ยนโลกร้อนให้เป็นโลกเย็น



เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรื่องโลกร้อน หรือ Global Warming เป็นอะไรที่หาข้อสรุปหรือข้อยุติไม่ได้ ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ ณ วินาทีนี้ ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าโลกร้อนจริงๆ และยังนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Climate Change คือสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ข่าวร้ายก็คือ เราไม่สามารถหยุดโลกร้อนได้ อย่างที่ผมเคยเขียนในบทความก่อนหน้านี้แหล่ะครับว่า มนุษย์เราไม่อยากทนทุกข์กับ Climate Change หรอกครับ วิธีการที่พอทำได้ คือการบรรเทาผลของ Climate Change และดูเหมือนว่า การเข้าไปควบคุม Climate เสียเลย ด้วยการสร้างโดมใหญ่ๆ มาครอบคลุมตัวเอง กำลังจะกลายเป็นเรื่องฮิต ที่กำลังมาแรงเลยครับ คราวนี้อยากให้ฤดูกาลข้างในเป็นอย่างไรก็ทำได้เลย ไม่ต้องไปรอหน้าร้อน หน้าหนาวเหมือนสมัยก่อน เกษตรกรรมก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องสนใจฤดูกาล ทั้งพืชเมืองร้อนเมืองหนาว ได้หมดครับ โครงการอย่าง Masdar City เป็นเมืองพลังงานสะอาดที่สร้างขึ้นในทะเลทราย ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมืองที่ไม่ใช้น้ำมันเลยนี้สามารถควบคุม Climate ให้น่าอยู่แม้จะตั้งอยู่กลางทะเลทรายก็เถอะ เมืองนี้สามารถบรรจุประชากร 50,000 คน โครงการ Kazakhstan's Pleasure Dome หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Khan Shatyry Entertainment Center ในประเทศคาซัคสถาน เป็นโดมใสครอบคลุมอาณาบริเวณ 100,000 ตารางเมตร ที่มีทั้งสนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำ ชายหาด สวนน้ำเล่นคลื่น ร้านค้ากว่า 250 ร้าน โรงภาพยนตร์ โดมอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะทำให้ประชากรของคาซัคสถาน สามารถมาเที่ยวชมเพื่อรับบรรยากาศทะเลของภูเก็ตแบบไม่ต้องบินมาจริงๆ ได้ตลอดปี ทั้งๆที่อากาศข้างนอกอาจหนาวถึง -35 องศาเซลเซียส


คราวนี้มาถึงคิวของ Indoor Ski Resort ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะทำให้การเล่นสกีสามารถทำได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องกังวลกับความหนาของหิมะที่ลดลงทุกปีๆ ของถิ่นสกีในเทือกเขาแอลป์อีกต่อไป ภูเขาสกีเทียมลูกนี้มีความสูงเท่ากับตึก 35 ชั้น และจะสร้างขึ้นที่ Long Island ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในบริเวณใกล้กันจะมีกลุ่มของโรงแรมและรีสอร์ท สวนน้ำ ศูนย์ประชุม โรงไวน์ สวนแคมปิ้ง สปา ทะเลสาบ และสวนพฤกษศาสตร์ คาดว่าโครงการนี้จะทยอยเปิดใช้บางส่วนในปี ค.ศ. 2013 โดยโครงการเต็มรูปแบบจะใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 10 ปี

03 มิถุนายน 2551

น้ำมันลิตรละ 70 บาท (ตอนที่ 2)


ดูเหมือนคำทำนายที่ว่าสิ้นปีนี้ เราจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบถังละ 200 เหรียญสหรัฐ และน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลิตรละ 70 บาท จะปรากฏภาพอันน่ากลัวชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ เพราะแม้แต่รัฐมนตรีคลังของเราเองก็เริ่มพูดแล้วว่า เขากลัวว่าสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ คนไทยคงจะได้เห็นน้ำมันลิตรละ 50 บาทกัน ก่อนหน้านี้เรามักจะโทษพวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ว่าเข้าไปเก็งกำไรราคาน้ำมัน ทำให้น้ำมันแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงตอนนี้ทิศทางของความเชื่อกำลังจะพุ่งไปสู่ทฤษฎี Peak Oil หรือ Hubbert Peak Theory ที่กล่าวว่าโลกเรากำลังถึงจุด Peak Oil ซึ่งหลังจากจุดนี้แล้ว การผลิตน้ำมันจะค่อยๆ ลดลงๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่มีน้ำมันเหลือให้ใช้อีกต่อไป ผลการศึกษาตามแนวของ Hubbert Peak Theory แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าโลกเข้าใกล้ยุค End of Oil แล้ว ในช่วง ค.ศ. 2000 - 2015 นี้แหล่ะ ได้เห็น Peak Oil แน่ๆ ครับ แต่ที่ผ่านมาคนใช้น้ำมันกลับไม่ยอมทำใจรับกับความจริงอันเจ็บปวดนี้ โลกเราใช้น้ำมันกันอย่างขาดสติมาตลอดหลายปีมานี้


ถ้ายังจำได้ ผมเคยเขียนเอาไว้สัก 2 เดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นน้ำมันหยุดพักอยู่ที่ลิตรละประมาณ 35 บาท ว่า OPEC กำลังจะทดสอบราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท เพราะลิตรละ 40-50 บาท เป็นราคาทางจิตวิทยาที่จะกำหนดตลาดให้ลดการใช้น้ำมัน ในขณะที่ราคามากกว่าลิตรละ 50 บาทอาจนำไปสู่การถดถอยของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นน้ำมันลิตรละ 40-50 บาท จะเป็นอะไรที่ทำให้ Supply กับ Demand พอเหมาะพอดี หากราคาสูงขนาดนี้ แล้วคนยังไม่ลดการใช้ นั่นย่อมแสดงว่า Peak Oil มาถึงแล้วล่ะครับ เพราะ OPEC เองก็ไม่อยากขึ้นราคามากไปกว่านี้แล้ว แต่เป็นเพราะ OPEC ไม่สามารถผลิตเพิ่มแล้ว เพราะน้ำมันไม่มีจะดูดขึ้นมาต่างหาก


อีกไม่นาน เราจะได้ทดสอบกันแล้วครับว่าโลกมาถึง Peak Oil หรือยัง .......